top of page

หน้ากากกับกระจก

[หน้ากาก]

เหมือนว่าคนเราจะมีกันอยู่หลายด้าน หลายอารมณ์ หลายวิธีการพูด หลายวิธีการแสดงออก และทุกอย่างสามารถผลัดเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เราไม่รู้ว่ามันเรียกว่าเป็นการปรับตัว? สัญชาตญาณ?หรือการเข้าสังคมอะไรแบบนี้หรอก แต่ในที่นี้เราจะขอเรียกมันว่า'หน้ากากก็แล้วกัน

ทุกๆวันก่อนจะออกจากบ้านเราก็มักจะหยิบเอาหน้ากากติดตัวมาด้วย ถ้าให้นับก็คงจะนับไม่ไหวเลย(เพราะมันเยอะมาก) เราไม่ได้จะบอกว่าเราเป็นคนfakeนะ เพราะที่เห็นๆกันนั้นแหละ มันคือตัวตนจริงๆของเราแล้ว เราใส่หน้ากากเข้าหาทุกๆคน ไม่เว้นแม้แต่กับคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือหมา,แมวข้างทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นใจของตัวเองรวมไปถึงการตอบรับที่ดีและความภูมิใจของทุกคน เพราะใครๆก็ต้องการจะเห็นแต่ด้านดีๆกันทั้งนั้น ถึงมันจะผิดพลาดอยู่บ้างในบางครั้ง แต่เราก็พยายามที่สุดแล้ว เพื่อที่จะได้เป็นตัวของเราให้เหมือนและดีมากที่สุด ในทุกๆวันหลังจากที่บอกลากับทุกๆคน เรารู้สึกเหมือนว่าความสุขมันได้หมดและปิดฉากลงแล้ว "Byeนะ กลับดีๆ" สิ้นคำพูดนี้เราก็ก้มหน้าคอตกเดินต่อไปบนถนนก้อนอิฐก้อนปูนนี้คนเดียว รอยยิ้มที่เคยมีมันแห้งลงไปมาก ความโดดเดี่ยวกลับเข้ามาแทนที่ หน้ากากที่แบกมาด้วยจู่ๆมันก็หนักและทำให้รู้สึกรำคาญไปหมด พอเรามาถึงห้อง เราก็ทิ้งของทุกอย่างโยนมันไว้บนเตียงแล้วถอนหายใจออกมา เหมือนกับว่าวันนี้ได้จบลงแล้ว หน้ากากหลายแบบหลายสีถูกเก็บไว้อย่างดีในที่ของมันอีกครั้ง และตัวเราก็เหลือแค่ด้าน'สีน้ำเงิน'... ก็อย่างที่รู้ๆกันมาตั้งแต่อนุบาล ว่าแม่สีทางศิลปะมีสีอะไรบ้าง ซึ่งเราที่มีความสุขกับสีเหลืองแต่ในตอนนี้เหลือแค่สีน้ำเงินที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้เลย ไม่ว่าจะเติมสีอะไรลงไปอีกก็ตามแต่ มันก็ยังคงไม่สามารถที่จะเป็นหรือคล้ายกับสีเหลืองได้อยู่ดี(ไม่ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อยมินั่มซ้ำจะมีแต่ทำให้ตัวมันมืดลงเรื่อยๆ..) ** สิ่งที่อยู่ใต้หน้ากากเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบมันนัก(และคงจะไม่มีคนชอบมันด้วยเช่นกัน) หลายๆอย่างในโซเชียลที่เราแสดงออกมาก็มาจากมันนี่แหละ เจ้าสีน้ำเงินของเราเอง มันไม่ได้ยิ้ม มันไม่ได้มีความสุข ลึกๆแล้วมันทุกข์ มันเจ็บปวด แต่แสดงออกมาไม่ได้ เหมือนกับว่าไม่มีปาก และมันต้องพึ่ง'หน้ากาก' หน้ากากที่มีไว้ใส่ตอนอยู่คนเดียว.. ในตอนนี้เรายังหามันไม่เจอเลย หน้ากากที่ว่านั่น แต่คิดว่าเดี๋ยวสักวันก็คงจะเจอเองแหละ **

//

[กระจก]

ความคิดใน**ข้างบนมันคือสิ่งที่เราพิมพ์ออกมาเก็บไว้นานแล้วล่ะ จำไม่ได้ว่าเป็นวันที่เท่าไรเดือนอะไร แต่น่าจะเป็นช่วงหลังมิดเทอมนะ นั่งพิมพ์อยู่ตั้งแต่ตี4จนถึง6โมงเช้าเลยล่ะ ฮ่าๆๆ พอได้กลับมาอ่านแล้วก็รู้สึกเศร้านิดๆนะ ที่เจ้าสีน้ำเงินของเรามันต้องพึ่งพาหน้ากากที่เราพยายามจะตามหามันอยู่ตลอดเวลา แต่ในตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ได้จำเป็นเลย เราชอบที่ตัวเองเป็นสีน้ำเงินแบบนี้นะ แถมยังติดใจมันเข้าแล้วด้วยสิ จริงอยู่ที่เราอยากจะเป็นสีเหลืองแต่นั้นมันก็แค่ตอนที่ได้อยู่ต่อหน้าทุกๆคน(คนอื่นๆในชีวิต)เท่านั้นแหละ เพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าแต่ละคนผ่านเรื่องอะไรกันมาบ้าง เขามีเรื่องที่กำลังเจ็บปวดอยู่หรือเปล่านะ? หรือกำลังมีความทุกข์อะไรอยู่ในใจไหม? เราเลยอยากจะเป็นพลังบวกให้ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง หวังแค่ว่าจะไม่เป็นคนไปซ้ำเติมความรู้สึกแย่ๆพวกนั้นและอยากจะให้ความเจ็บปวดของทุกคนเบาบางลงบ้างจากการได้พบปะกันเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง

หลังจากที่ได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น(จากกระทู้'อยากจะบิน')มา เราก็เหมือนได้ทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้น เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เราได้รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่ทำอะไร และเราควรจะทำอะไรเพื่อให้ตัวเองมีความสุขและได้รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเอง มันเหมือนกับว่าเราได้เข้าใกล้คำว่ารักตัวเองเข้าไปอีกก้าวหนึ่งเลยล่ะ คล้ายกับการได้รับพรพิเศษแต่ว่าเป็นพรที่เราไม่ได้ขอ แต่มันกลับน่าทึ่งมากๆที่เมื่อจู่ๆเราก็ได้รับมันมา แล้วก็อย่างที่เคยเขียนลงไปใน #ณิวณัชฯ - Love myselfในinstagram นั้นก็เป็นวิธีที่เราใช้เพื่อผ่านช่วงเวลานั้นมาและมันทำให้เราได้รู้ว่าสิ่งที่สีน้ำเงินของเราต้องการนั้นไม่ใช่หน้ากาก แต่เป็นความซื่อตรงแบบที่ไม่ต้องมีอะไรมาปิดบังเลยต่างหาก ในตอนที่เราอยู่คนเดียวก็ไม่เห็นจะต้องปิดบังหรือต้องใช้อะไรมาช่วยสื่อสารเลย เราแค่ต้องรับฟังและทำความเข้าใจในตัวตนอีกด้านของตัวเองก็แค่นั้น

อาจจะมีคนอยู่จำนวนไม่น้อยที่กำลังสงสัยว่าตัวเองเป็นคนยังไง? ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน? บางทีอาจจะเกิดคำถามทำนองว่า ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่? หรือ ตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่? เราอยากให้คุณมองย้อนกลับไปข้างในตัวเอง ลองฟังเสียงของตัวเองดูบ้างแล้วก็เปิดใจยอมรับในส่วนนี้ี่ที่เป็นตัวของคุณเอง แต่ถ้าเกิดว่าวิธีการนี้มันอาจจะยังยากอยู่ก็ลองมองไปที่ผู้คนรอบๆตัวแล้วลองมองหาดูนะ ทุกคนสามารถเป็นกระจกที่สะท้อนตัวตนของคุณออกมาให้เห็นได้เพราะความจริงแล้วเราก็แทบจะไม่รู้สภาพหน้าตาของตัวเองเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ได้ส่องกระจกน่ะ

ณิวณัชฯ

22:12

181305

bottom of page